บทที่ 7 ฉันไม่มีความสัมพันธ์กับพวกเขา

เมื่อตำรวจสองนายมาถึงที่เกิดเหตุ ก็ต้องสืบสวนหาความจริงให้กระจ่างแจ้ง แต่ครอบครัวนี้กลับมีแต่เสียงทะเลาะวิวาทดังลั่น แล้วแบบนี้จะสืบสวนคดีได้อย่างไร?

ทันใดนั้น ตำรวจนายหนึ่งก็ตะโกนเสียงดังขึ้น

“พอได้แล้ว! เงียบกันให้หมด! คนที่แจ้งความพูดก่อน! คุณออกมา”

เขายื่นนิ้วชี้ไปทางพิชญ์ที่ยืนอยู่ในกลุ่มคน

เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะอ้าปากพูด เพ็ญนภาก็รีบก้าวเข้ามาเพื่อจะห้าม

แต่ตำรวจอีกนายก็ไม่ใช่หมูในอวย เขาจึงยกมือขึ้นขวางเธอไว้

“เรากำลังปฏิบัติหน้าที่ และมีกล้องบันทึกภาพตลอดเวลา ถ้ายังขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่อีก ก็คงต้องเชิญพวกคุณไปคุยกันที่โรงพักแล้ว”

เพ็ญนภาถึงกับพูดไม่ออก ได้แต่เก็บความเจ็บใจไว้ จำรัสจึงดึงแขนเธอไว้

ในเมื่อกาญจนาอยากจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ก็ขายหน้าด้วยกันไปเลยแล้วกัน

คิดดูแล้ว นางก็คงสร้างเรื่องอะไรไปมากกว่านี้ไม่ได้

ยังจะมาพูดเรื่องบุกรุกบ้านอีก เขาเป็นพ่อของกาญจนาแท้ๆ

ตั้งแต่โบราณมา มีที่ไหนที่ลูกสาวจะไล่พ่อออกจากบ้าน!

ในที่สุดพิชญ์ก็ได้โอกาสพูด เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่สุขุมและน่าเชื่อถือเป็นพิเศษ

“คุณตำรวจครับ ผมเป็นทนายความที่คุณกาญจนาได้มอบหมาย เรื่องมันเป็นแบบนี้ครับ ทั้งสามท่านนี้บุกรุกเข้ามาในบ้าน และคุณผู้หญิงท่านนี้ยังมีพฤติกรรมต้องสงสัยว่าพยายามทำร้ายร่างกายด้วย แต่โชคดีที่ลูกความของผมป้องกันตัวเองได้ทันท่วงที รบกวนคุณตำรวจช่วยเชิญทั้งสามท่านนี้ออกไปด้วยครับ ขอบคุณครับ”

พออรุณีได้ยินเขาพูดอย่างนั้น ก็รีบถกแขนเสื้อขึ้น โชว์รอยฟกช้ำบนตัว ดวงตายังคลอไปด้วยน้ำตา ทำท่าทางอ่อนแอ

“คุณตำรวจคะ ที่นี่คือบ้านของฉัน ผู้หญิงคนนี้ต่างหากที่บุกรุกเข้ามา ดูสิคะ นี่คือหลักฐานที่เขาทำร้ายฉัน”

ตำรวจมองดูบาดแผลของเธอแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะกำหมัดข้างหนึ่งมาจ่อที่ปากแล้วกระแอมเบาๆ

“ทนายความคนนี้บอกว่าคุณกาญจนาป้องกันตัว แสดงว่าคุณเป็นคนเริ่มก่อน?”

อรุณีไม่คิดว่าตำรวจจะหลอกง่ายๆ เลยยืนกรานเสียงแข็ง

“ไม่ใช่แน่นอนค่ะ! ดูสิคะฉันตัวผอมขนาดนี้ จะไปสู้แรงเธอไหวได้ยังไงกันคะ? อีกอย่าง คุณเคยเห็นใครเริ่มก่อนแล้วตัวเองต้องมาเจ็บตัวแบบนี้บ้างไหมคะ?”

ตำรวจทั้งสองนายสบตากัน

เมื่อครู่คุณนายไฮโซคนนี้ยังบอกว่าเป็นเรื่องพี่น้องทะเลาะกันอยู่เลย แต่ตอนนี้คนหนึ่งบอกว่าอีกฝ่ายบุกรุกบ้าน อีกคนก็บอกว่าอีกฝ่ายลงมือทำร้าย

ตกลงแล้วใครถูกใครผิด คงต้องสอบสวนกันต่อไป

เมื่อเห็นตำรวจนิ่งเงียบไป อรุณีจึงเริ่มหาพยานบุคคล

“พ่อคะ! แม่คะ! พูดอะไรหน่อยสิคะ ว่ากาญจนาเป็นคนทำร้ายฉันกับพวกคุณไม่ใช่เหรอ เป็นใบ้กันหมดแล้วหรือไง?”

คนรับใช้ที่ก้มหน้าอยู่ด้านหลัง พอเห็นเธอพูดข่มขู่ ก็พากันอยากจะแทรกแผ่นดินหนี

จำรัสมองลูกสาวทั้งสองคน ตัวต้นเหตุของเรื่องกลับนั่งสบายใจเฉิบอยู่ตรงนั้น

ส่วนอีกคนกลับเต็มไปด้วยบาดแผล ดูแล้วช่างน่าสงสาร

“คุณตำรวจครับ ในเมื่อลูกสาวคนนี้ของผมไม่รู้จักโต งั้นพวกคุณก็จับเธอไปเลยก็ได้ครับ เธอเป็นคนลงมือเอง”

อรุณีเห็นพ่อเข้าข้างตัวเอง ก็แสดงท่าทีได้ใจขึ้นมา

“ได้ยินไหม! กาญจนา รีบไสหัวออกจากบ้านฉันไปซะ!”

สีหน้าของกาญจนายังคงไม่เปลี่ยนแปลง การกลับมาครั้งนี้ของเธอ ก็เพื่อจะตบหน้าพวกเขาอย่างแรง แน่นอนว่าเธอย่อมมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม

เธอหันหน้าไปมองพิชญ์

“พิชญ์คะ รบกวนช่วยแสดงหลักฐานให้ดูหน่อยค่ะ แล้วก็ช่วยอธิบายให้คุณตำรวจฟังดีๆ นะคะ ว่าคุณผู้หญิงคนนี้ลงมือก่อนได้อย่างไร แล้วทำไมถึงได้มีแผลเต็มตัวแบบนั้น”

พิชญ์พยักหน้า แล้วหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา ค้นหาวิดีโอที่เพิ่งถ่ายไว้เมื่อครู่ แล้วกดเล่น เขายังใจดีเร่งเสียงให้ดังสุดอีกด้วย

ตอนต้นคลิป มีเสียงแหลมบาดหูดังออกมาจากโทรศัพท์ว่า “กาญจนา ไปตายซะ!”

ในวิดีโอ อรุณีพุ่งเข้าทำร้ายอย่างกะทันหัน

แม้แต่ตำรวจทั้งสองนายก็คาดไม่ถึงว่าหญิงสาวที่ดูบอบบางน่ารัก จะลงมือได้โหดเหี้ยมถึงเพียงนี้

เมื่อทั้งสองเห็นกาญจนาเตะขวดกลับไป ก็อดชื่นชมในใจไม่ได้ว่าฝีมือไม่เลวเลย

จากนั้นก็เป็นเสียงของแตกกระจายดังเพล้ง แล้วตามด้วยเสียงชั้นวางของล้มลง

เมื่อวิดีโอเล่นจบ ตำรวจก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด

“คุณเป็นคนทำร้ายเขาก่อนแล้วยังจะมาโวยวายอีกเหรอ? ของหนักขนาดนี้ถ้าโดนหัวคนเข้า มันถึงตายได้เลยนะ!”

ตำรวจนายหนึ่งพูดอย่างฉุนเฉียวและอบรมอรุณีอย่างจริงจัง

อรุณีโดนเขาตะคอกใส่จนคอหด

เมื่อครู่ในห้องมันวุ่นวายเกินไป ไม่คิดว่ากาญจนาจะแอบเก็บไพ่เด็ดไว้ ตอนนี้มีหลักฐานชัดเจน เธอเถียงไม่ออกแล้ว

ดังนั้นเธอจึงขมวดคิ้ว น้ำตาสองสายก็ไหลรินลงมา การร้องไห้เงียบๆ ยิ่งทำให้คนรู้สึกสงสาร

“พี่ทำไมถึงใส่ร้ายฉันแบบนี้ พี่บุกเข้ามาในบ้านแล้วอาละวาดเสียงดัง ตั้งใจยั่วโมโหฉัน ฉันก็เลยพลั้งมือทำไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ”

เพราะทั้งสองคนเป็นพี่น้องกัน ตำรวจจึงไม่ได้คิดจะลงโทษรุนแรง

ความขัดแย้งในครอบครัวแบบนี้ ถ้าไม่มีใครถึงแก่ชีวิต ก็แค่ไกล่เกลี่ยก็พอ

เมื่อเห็นอรุณีร้องไห้ ตำรวจทั้งสองนายก็ไม่อยากจะทำให้ลำบากใจ จึงเอ่ยขึ้นว่า

“พวกเธอสองคนเป็นสาวเป็นนาง มีอะไรทำไมไม่พูดกันดีๆ? เป็นพี่น้องกันแท้ๆ ต้องมาตีกันด้วย”

เพ็ญนภาเห็นโอกาสที่จะทำให้เรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็ก ก็รีบพูดเสริมขึ้นมาทันที

“ใช่ๆ ค่ะ คุณตำรวจพูดถูก พวกเธอสองคนควรจะสำนึกผิดได้แล้ว”

กาญจนารู้สึกว่าโลกใบนี้มันบ้าไปแล้ว ทำไมแต่ละคนถึงฟังภาษาคนไม่รู้เรื่อง เธอที่เป็นผู้เสียหาย เพียงเพราะยังนั่งอยู่ดีๆ ไม่เป็นอะไร ก็เลยไม่ได้รับความสำคัญอย่างนั้นหรือ?

“ฉันพูดไปกี่รอบแล้ว! ว่าฉันกับพวกคุณไม่ใช่ครอบครัวเดียวกัน”

ความโกรธแค้นพลุ่งพล่านขึ้นมาจากอก กาญจนาก็อยากจะขว้างปาข้าวของบ้าง แต่ตำรวจยังอยู่

เธอจึงใช้มือข้างหนึ่งกำหมอนอิงบนโซฟาไว้แน่น ส่วนอีกข้างก็หยิบสร้อยคอเปื้อนเลือดเส้นนั้นออกมา

“คุณตำรวจคะ คุณผู้หญิงคนนี้ ขโมยสร้อยคอของฉันที่มูลค่าเป็นสิบล้านไป ฉันแค่ทวงคืนมามันผิดตรงไหนเหรอคะ? พอขโมยไม่สำเร็จ เห็นฉันแจ้งตำรวจ ก็เลยคิดจะฆ่าปิดปาก ในสายตาเธอไม่มีกฎหมายอยู่เลยหรือไง หรือว่าฉันจะแจ้งตำรวจจับเธอไม่ได้?”

อรุณีกำลังแสร้งทำเป็นน่าสงสาร น้ำตายังคลออยู่ที่แก้ม ไม่คิดว่ากาญจนาจะพูดออกมาตรงๆ แบบนี้

เธอปฏิเสธทันควัน ราวกับว่าคนที่แย่งสร้อยเมื่อครู่ไม่ใช่ตัวเอง

“ฉันเปล่านะ! เธอบอกว่าฉันขโมยสร้อยเธอ เธอมีหลักฐานเหรอ?”

วิดีโอของพิชญ์บันทึกไว้ได้แค่ช่วงเวลาสั้นๆ ช่วงนี้จึงไม่ได้ถูกถ่ายไว้

แต่กาญจนาก็ยื่นนิ้วชี้ไปที่คอของเธอ

“บนสร้อยยังมีเลือดของเธอติดอยู่ ลืมแล้วเหรอ? แผลที่คอของเธอก็ยังอยู่ จะให้ไปตรวจดีเอ็นเอไหมล่ะ?”

อรุณีเผลอยกมือขึ้นกุมคอตัวเองโดยไม่รู้ตัว แต่ในสายตาของตำรวจ การกระทำนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการปิดหูปิดตาตัวเอง

ดูเหมือนว่านี่จะไม่ใช่แค่ความขัดแย้งในครอบครัวธรรมดาๆ แต่เป็นการพยายามลักทรัพย์และพยายามทำร้ายร่างกาย

ตำรวจทั้งสองนายมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น

“คุณอรุณีครับ รบกวนไปกับเราสักครู่นะครับ”

คราวนี้อรุณีลนลานขึ้นมาจริงๆ เธอรีบหลบไปอยู่หลังเพ็ญนภา เสียงสั่นเทา

“แม่คะ หนูไม่อยากไปโรงพัก! เห็นๆ กันอยู่ว่านังกาลกิณีกาญจนามันบุกมาหาเรื่องเราถึงบ้าน ทำไมหนูต้องไปโรงพักด้วย?”

เพ็ญนภาก็หมดหนทาง จึงได้แต่ขอความช่วยเหลือจากสามีที่อยู่ข้างๆ

สายตาของผู้หญิงทั้งสองคนจับจ้องมาที่เขา จำรัสจึงไม่อาจนิ่งเฉยได้อีกต่อไป เขาเอ่ยขึ้นว่า

“คุณตำรวจครับ ผมขอพูดตามตรง คนที่แจ้งความคือลูกสาวของผมกับภรรยาเก่าที่เสียไปแล้ว ส่วนอีกคนเป็นลูกสาวของภรรยาคนปัจจุบันของผม เราเป็นครอบครัวเดียวกันจริงๆ ครับ ถ้าไม่เชื่อ พวกคุณไปตรวจสอบได้เลย พี่น้องทะเลาะกัน จะมีที่ไหนต้องถึงขั้นเข้าโรงพัก อีกอย่าง พวกคุณก็เห็นว่าลูกสาวคนโตของผมก็ไม่ได้บาดเจ็บอะไร สร้อยคอก็อยู่ที่เธอ เรื่องไม่จำเป็นต้องทำให้ใหญ่โตขนาดนี้หรอกครับ”

ตำรวจทั้งสองนายลังเลเล็กน้อย

กาญจนากลับหัวเราะออกมา แล้วลุกขึ้นยืนปรบมือให้กับพ่อที่ดีคนนี้ของเธอ

ที่แท้ก็ไม่ใช่ว่าปกป้องลูกสาวไม่เป็น แค่ไม่ปกป้องตัวเองเท่านั้นเอง อะไรคือลูกสาวคนโตก็ไม่ได้บาดเจ็บ? ถ้าโดนของหนักนั่นฟาดหัวเข้าจริงๆ แล้วใครจะมาให้ความเป็นธรรมกับเธอกัน?

เสียงปรบมือที่ใสดังกังวานในสถานการณ์เช่นนี้ช่างเสียดหูเป็นพิเศษ เมื่อเสียงปรบมือเงียบลง กาญจนาก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยว่า

“คุณจำรัส มินสาคร ฉันนามสกุลชำนาญ ระหว่างเราไม่มีเยื่อใยความเป็นพ่อลูกอะไรทั้งนั้น!”

บทก่อนหน้า
บทถัดไป